ในคอลัมน์ครั้งก่อน ผมได้แนะนำโครงสร้างการดำเนินโครงการของบริษัทเรา ซึ่งรวมถึงการทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมการสื่อสารภายในองค์กรของลูกค้า นอกจากนี้ บริษัทของเรายังได้นำแนวทางการบริหารโครงการมาตรฐานของกลุ่ม NSSOL มาใช้ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของโครงการและนำระบบเข้าสู่การใช้งานจริงได้อย่างมั่นใจ
ในด้านการทำสัญญา เราใช้รูปแบบที่เป็นมาตรฐานในโครงการ IT ของญี่ปุ่น โดยดำเนินการตามเฟสของโครงการ พร้อมขอความเห็นชอบและการตรวจรับจากลูกค้าในแต่ละขั้นตอน
ในทางกลับกัน ผู้ให้บริการ IT ท้องถิ่นในประเทศไทยมักมีแนวทางที่แตกต่างออกไป ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับความคาดหวังหรือสามัญสำนึกของลูกค้าชาวญี่ปุ่น ส่งผลให้เกิดความสับสนหรือปัญหาใหญ่หลังเริ่มโครงการ
ที่ผ่านมา บริษัทของเราได้รับคำปรึกษาจากลูกค้าที่ประสบปัญหาดังกล่าวจำนวนมาก และได้เข้าไปช่วยฟื้นฟูหรือเริ่มต้นโครงการใหม่ให้กับลูกค้าเหล่านั้น
จากประสบการณ์เหล่านี้ ผมขอแนะนำข้อควรระวังเมื่อต้องดำเนินโครงการร่วมกับผู้ให้บริการ IT ท้องถิ่นในไทย และชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างเมื่อเทียบกับบริษัท IT สัญชาติญี่ปุ่น เช่นบริษัทของเรา
ในโครงการ IT ของญี่ปุ่น ผู้ให้บริการมักมีแนวทางที่ชัดเจนว่า “จะรับผิดชอบจนกว่าระบบจะสามารถใช้งานจริงได้” ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ (ยกเว้นกรณีที่ฝ่าย IT ของลูกค้ามีความพร้อมและสามารถนำโครงการได้ด้วยตนเอง)
แต่สำหรับผู้ให้บริการ IT ท้องถิ่นในไทย ขอบเขตความรับผิดชอบมักจำกัดอยู่ที่ “ติดตั้งระบบและส่งมอบให้ผู้ใช้งาน” เท่านั้น
ดังนั้น การลงข้อมูลมาสเตอร์ให้เหมาะสม และการตรวจสอบว่าระบบสามารถใช้งานจริงได้หรือไม่ จะกลายเป็นความรับผิดชอบของฝ่ายผู้ใช้งาน
หากฝ่ายผู้ใช้งานไม่มีความรู้หรือภาวะผู้นำด้าน IT มากพอ การนำระบบเข้าสู่การใช้งานจริงโดยไม่มีการสนับสนุนจากผู้ให้บริการจะเป็นเรื่องยากมาก และเราเคยพบลูกค้าหลายรายที่โครงการล้มเหลวในขั้นตอนนี้
ในด้านการชำระเงิน มักมีเงื่อนไขให้ชำระล่วงหน้า 50% เมื่อเริ่มงาน, 30% ในช่วงกลางโครงการ และอีก 20% เมื่อเสร็จสิ้น หากโครงการล้มเหลวหลังส่งมอบระบบ เช่นในกรณีที่ผู้ใช้งานตรวจสอบแล้วพบว่าไม่สามารถใช้งานได้จริง แม้จะเกิดปัญหาเรื่องการชำระเงิน ก็ถือว่าลูกค้าได้ชำระไปแล้วถึง 80% ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่เสี่ยงและไม่เป็นธรรมต่อฝ่ายลูกค้า
ในประเทศไทย อาชีพวิศวกร IT มีมูลค่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับญี่ปุ่น ทั้งในด้านรายได้และสถานะทางสังคม ซึ่งอาจนำไปสู่แนวคิดที่ว่า “หากมีความสามารถด้านเทคนิคก็เพียงพอแล้ว” โดยไม่คำนึงถึงภาพรวมของธุรกิจ
ในทางกลับกัน วิศวกร IT ของญี่ปุ่นมักถูกคาดหวังให้มีคุณค่าเพิ่มเติมนอกเหนือจากด้านเทคนิค เช่น การเข้าใจว่าผลงานของตนจะส่งผลต่อธุรกิจของลูกค้าอย่างไร
แนวทางของผู้ให้บริการ IT ท้องถิ่นในไทยที่มองว่าการ “ติดตั้งระบบและส่งมอบให้ผู้ใช้งาน” คือขอบเขตความรับผิดชอบ ก็สะท้อนแนวคิดนี้เช่นกัน
ในโครงการ ERP ผู้ให้บริการมักจะรวบรวมข้อมูลขั้นต่ำที่จำเป็นจากฝ่ายผู้ใช้งานเพื่อกำหนดค่าพารามิเตอร์ของระบบ และจัดฝึกอบรมโดยเน้นการอธิบายฟังก์ชัน โดยไม่คำนึงถึงกระบวนการทำงานจริง และถือว่าหน้าที่ของตนสิ้นสุดลงแล้ว
แนวทางที่ว่า “การใช้งานจริงให้ฝ่ายผู้ใช้งานตรวจสอบเอง หากต้องการปรับระบบให้แจ้งมา” เป็นสิ่งที่พบได้บ่อย
ดังนั้นจึงขอย้ำอีกครั้งว่า ฝ่ายผู้ใช้งานต้องมีความรู้และภาวะผู้นำด้าน IT อย่างเพียงพอ
แน่นอนว่าไม่ใช่ผู้ให้บริการท้องถิ่นทุกแห่งจะมีแนวทางเช่นนี้ แต่หากเป็นผู้ให้บริการขนาดเล็กที่เสนอราคาต่ำมาก ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดกรณีดังกล่าว จึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบ
ทั้งหมดนี้คือข้อมูลที่ผมได้นำเสนอในคอลัมน์ชุด “ความเป็นจริงของโครงการนำระบบ ERP มาใช้ในประเทศไทย” ทั้ง 4 ตอน หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่านไม่มากก็น้อย
15-06-2023